:: หน้า 1 :: หน้า 2 :: หน้า 3 :: หน้า 4 :: หน้า 5 :: หน้า 6 :: หน้า 7 ::
กรรมวิธีในการปั้นหุ่นเทียนเบ้าดินไทยเทแบบโบราณ รายละเอียด VDO 1 :: VDO 2 :: VDO 3 :: VDO 4 :: VDO 5 :: VDO 6 :: VDO 7 :: VDO 8
นี่เป็นพระพิฆเนศวรรึเปล่าครับ..... (บันทึกเมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563) " ช้างที่อาจารย์ทำ ก็ตั้งใจว่าให้เป็นพญาช้างฉัททันต์ ชาติหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเสวยชาติเป็นพญาช้าง มีในชาดกพระเจ้า 500 ชาติ เมื่อครั้ง ที่ท่านเป็น พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีตามคติทางพระพุทธศาสนา แต่คนอาจจะเข้าใจว่าเป็นพระพิฆเนศวร ตามคติทางพราหมณ์ก็ได้เหมือนกัน.. "
ที่ระลึกเนื่องในงานฉลองสมณศักดิ์พระใบฎีกา ปี 60 และพระสมุห์ ปี 61 พระอาจารย์อดิเรก อนุตฺตโร (โดย สมภพ โรจนเสถียร)
พระพิฆเนศ เนื้อสัมริด จำนวนสร้าง 1 องค์ พร้อมพระปิดตารุ่นแรก บูชาครู ปี 59 (โดย แอร์ ดอนมดดำ)
ในปี 60 พระอาจารย์ได้มีการจัดสร้างช้าง (พระพิฆเนศ) เนื้อสำริดศิลป์นี้ไว้ที่ทราบมีจำนวน 2 องค์ โค๊ตสูญนิพพานในหุ่นเทียน (ทำบนหุ่นเทียน) และ ตอกโค๊ตพุทเมตตา โค๊ตเดียวกับเหรียญรุ่นแรกทุกเนื้อ ยกเว้นเนื้อทองแดงแจก (โค๊ตนี้ใช้ถึงช่วงต้นปี 61 ในชุดวัตถุมงคลบางส่วนใน รุ่นฉลองตราตั้ง เจ้าคณะตำบล และพระสมุห์ วันอาทิตย์ที่ 25 มี.ค.61 เท่านั้น (โดย สมภพ โรจนเสถียร / ป้อสุพรรณ)
ช้าง (พระพิฆเนศ) ที่สร้างออกให้บูชาอย่างเป็นทางการในชุด 100 องค์ โดยจะมีการปั้นย่อส่วน (ตอกโค๊ตดาวด้านหลังที่ข้างสะโพก) เมื่อ 25 มี.ค.61 ดังนั้นวัตถุมงคลที่ทางวัดหนองทรายจัดสร้าง ก็อาจจะสามารถจำแนกช่วงปีของการสร้าง ก็ด้วยอาศัยโค๊ตต่างๆ มาประกอบได้อีกทาง
ช้างยุคต้น เนื้อขันลงหิน พระอาจารย์อดิเรก อนุตฺตโร แห่งวัดหนองทราย (โดย สำเริง นัยเนตร์)
ช้างจิ๋ว เนื้อสำริด ปี 61 จำนวนสร้าง (ตามจอง ) 100 องค์
ช้างพิมพ์ใหญ่ ปี 63 เนื้อเมฆสิทธิ์ จำนวนสร้าง 319 องค์ / ช้างพิมพ์ใหญ่ ปี 63 เนื้อเมฆพัด จำนวนสร้าง 319 องค์
ช้างจิ๋ว ปี 63 เนื้อเมฆสิทธิ์ จำนวนสร้าง 600 องค์ / ช้างจิ๋ว ปี 63 เนื้อเมฆพัด จำนวนสร้าง 600 องค์
ช้างจิ๋ว เนื้อสำริดเงิน ปี 63 จำนวนสร้าง 600 องค์ / ช้างจิ๋ว เนื้อนาก ปี 63 จำนวนสร้าง 418 องค์
ช้างจิ๋วยุคต้น เนื้อนาก (โดย Mong Saima) / ช้างยุคต้น เนื้อขันลงหิน (เจี๊ยบ ราชวัตร)
ช้างหล่อโบราณ ขนาดบูชา เนื้อสำริด กว้าง 3.5 ซม. สูง 6 ซม. ไม่รวมฐาน (โดย นิว ด่านช้าง) ประมูลทำบุญเพื่อสมทบทุนสร้างวิหารฯ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.61
ตำนานพญาช้างฉัททันต์ ในหนังสือฉัททันตชาดก ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง ผู้นั่งฟังธรรมระลึกถึงอดีตชาติได้แล้วแสดงอาการเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีช้างประมาณ 8,000 เชือกมีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ อาศัยสระฉันททันต์อยู่ในป่าหิมพานต์ครั้งนั้น พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นลูกช้างของช้างหัวหน้าโขลง มีสีขาวปลอด ปากและเท้าสีแดง เมื่อเติบโตขึ้นมีร่างกายใหญ่โตมากกว่าช้างเชือกอื่น ๆ ที่งามีแสงรัศมี 6 ประการเปล่งประกายออกมา อยู่ต่อมาเมื่อบิดาเสียชีวิตแล้ว พระโพธิสัตว์ได้เป็นหัวหน้าช้างแทน มีชื่อว่า พญาช้างฉัททันต์ มีภรรยา 2 เชือก คือมหาสุภัททาและจุลลสุภัททา วันหนึ่งในฤดูร้อน ป่ารังมีดอกบานสะพรั่ง พญาช้างฉัททันต์ได้พาบริวารไปหากินที่ป่ารัง ใช้กระพองชนต้นรังให้ดอกหล่นลงมา นางช้างจุลลสุภัททายืนอยู่เหนือลมจึงถูกใบรังเก่า ๆ ติดกับกิ่งไม้แห้งมีมดดำมดแดงตกใส่ร่างกาย ส่วนนางช้างมหาสุภัททายืนอยู่ใต้ลมเกสรดอกไม้และใบสด ๆ จึงโปรยปรายใส่ร่างกาย นางช้างจุลลสุภัททาเห็นเช่นนั้นจึงเกิดความน้อยใจว่าสามีโปรดปรานและรักใคร่แต่นางช้างมหาสุภัททา ส่วนตนมีแต่มดดำมดแดงร่วงใส่ จึงผูกความอาฆาตในพญาช้างฉัททันต์ ต่อมาอีกวันหนึ่ง พญาช้างฉัททันต์เมื่ออาบน้ำในสระเสร็จแล้ว ขึ้นมายืนบนฝั่งขอบสระ มีนางช้างทั่งสองยืนเคียงข้าง ขณะนั้นมีช้างเชือกหนึ่งได้นำดอกบัวมีกลีบ 7 ชั้นดอกหนึ่งขึ้นมามอบให้พญาช้าง พญาช้างโปรยเกสรลงบนกระพองแล้ว ยื่นดอกบัวให้แก่นางช้างมหาสุภัททา เป็นเหตุให้นางช้างจุลลสุภัททาเห็นแล้วคิดน้อยใจว่า " พญาช้างให้ดอกบัวแก่ภรรยาที่รักและโปรดปรานเท่านั้น ส่วนเราไม่เป็นที่รักที่โปรดปรานจึงไม่ให้ " จึงผูกเวรในพญาช้างอีก อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พญาช้างได้ไปอุปัฏฐากถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า นางช้างจุลลสุภัททาถวายผลไม้แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า " สาธุ ถ้าดิฉันตายไปแล้วขอให้ไปเกิดเป็นอัครมเหสีของพระราชาผู้มีอำนาจ สามารถฆ่าพญาช้างนี้ได้ด้วยเทอญ " นับแต่วันนั้นนางก็อดหญ้าอดน้ำ ร่างกายผ่ายผอม ไม่นานก็ล้มป่วยตายไปเกิดเป็นธิดาของพระราชาในแคว้นมัททรัฐ เมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าเมืองพาราณสี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานมาก ระลึกชาติหนหลังได้ วันหนึ่งจึงทำทีเป็นประชวรไข้หนักบรรทมอยู่ พระราชาเสด็จมาตรัสถามว่า " น้องนางดูนัยน์ตาเจ้าก็แจ่มใส แต่เหตุไรหนอ น้องนางจึงดูโศกเศร้าซูบผมไปละจ๊ะ " มเหสี " เสด็จพี่ หม่อมฉันแพ้ครรภ์ ฝันเห็นสิ่งที่หาได้ยากพระเจ้าคุณ แต่ถ้าไม่ได้สิ่งนั้น ชีวิตของหม่อมฉันคงอยู่ไม่ได้เช่นกัน " พระราชา " น้องนาง มีอะไรในโลกนี้ที่หาได้ยากบอกพี่มาเถิดจะจัดหามาให้ " มเหสี " เสด็จพี่ ถ้าจะกรุณาหม่อมฉัน โปรดรับสั่งให้ประชุมนายพรานป่าทุกสารทิศเข้าประชุมกันที่ท้องพระโรง มีนายพรานป่าประมาณ 60,000 คนมาประชุมกัน พระเทวีเมื่อพระราชาเปิดโอกาส จึงตรัสว่า " ท่านนายพรานทั้งหลาย ฉันฝันเห็นช้างเผือก ที่งามีรัศมี 6 ประการ ฉันต้องการงาคู่นั้น ถ้าไม่ได้ชีวิตฉันก็คงอยู่ไม่ได้ ขอให้พวกท่านนำมาถวายเถิด " พวกนายพรานทูลว่า " ขอเดชะอาญาไม่พ้นเกล้า ตั้งแต่เป็นพรานมาก็ไม่เคยได้ยินปู่ทวดกล่าวถึงพญาช้างเผือก งามีรัศมี 6 ประการเลย ขอพระองค์ได้ตรัสบอกที่อยู่ของพญาช้างด้วยเถิดพะยะค่ะ " พระเทวีได้ตรวจดูพรานป่าทั้งหมด เห็นพรานป่าคนหนึ่งชื่อโสณุตระ มีเท้าใหญ่ เข่าโต หนวดดก เคราแดง ตาเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของพรานผู้โหดร้าย จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกทิศทางไปว่า " จากนี้ไปทางทิศเหนือ ข้ามภูเขา 7 ลูก มีภูเขาสูงที่สุดลูกหนึ่งชื่อ สุวรรณปัสสคีรี เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้นมองดูตามเชิงเขา จะเห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งมีกิ่งก้านสาขาหนาทึบมีพญาช้างเผือกเชือกหนึ่งอาศัยอยู่ มีงาสวยงามมาก มีบริวารอยู่มาก เจ้าจงระวังตัวให้ดี พวกมันระวังรักษาแม่แต่ธุลีก็ไม่ให้แตะต้องพญาช้างได้ " นายพรานเกิดความกลัวตายทูลว่า " ข้าแต่พระเทวี พระแม่เจ้าทรงประสงค์จะฆ่าพญาช้าง เอางามาประดับหรือว่าจะให้พญาช้างฆ่าพวกนายพรานเสียกระมัง " พระเทวี " นายพราน..เรามีความริษยาและความน้อยใจเมื่อนึกถึงความหลัง ขอเพียงท่านทำตามคำของเรา จะได้บ้านส่วยเก็บภาษี 5 ตำบล ไปเถิดอย่ากลัวเลย" พร้อมกับชี้แจงที่อยู่ของพญาช้างให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น มอบทรัพย์ให้พันหนึ่งแล้วนัดให้มาอีก 7 วัน แล้วรับสั่งช่างเหล็กให้ทำอาวุธ ช่างหนังให้ทำกระสอบหนังใส่สัมภาระ ในวันที่ 7 นายพรานโสณุตระเข้าเฝ้าทูลอำลาเข้าป่าไป นายพรานปีนยอดเขา 7 ลูก จนเข้าไปถึงที่อยู่ของพญาช้างเห็นพญาช้างเผือกงามีรัศมี 6 ประการ ลงอาบน้ำในสระอยู่ เมื่อถึงเวลากลางคืนจึงขุดหลุมสี่เหลี่ยมเพื่อใช้เป็นที่แอบดักยิงพญาช้างในเวลาใกล้รุ่ง คลุมร่างกายมิดชิดด้วยผ้าเหลืองแล้วลงไปยืนถือธนูมีลูกอาบยาพิษแอบอยู่ในหลุมนั้น รอการมาของพญาช้าง วันนั้น พญาช้างได้พาบริวารออกหากินตามปกติ เมื่อลงอาบน้ำแล้วก็ขึ้นมายืนบนฝั่งใกล้หลุมนั้น ทันใดนั้นเองก็ร้องขึ้นสุดเสียงเมื่อถูกลูกศรของนายพราน ฝูงช้างได้ยินเสียงร้องของพญาช้างต่างตกใจวิ่งหนีเข้าป่าไป พญาช้างตัวเดียวเหลียวดูที่มาของลูกศรแล้วพลิกกระดานขึ้นเห็นนายพรานเท่านั้น คิดจะจับขึ้นมาฆ่าพอเห็นผ้าเหลืองพันกายนายพรานเท่านั้น ความโกรธก็หายไป ด้วยตระหนักว่า " ผ้าเหลืองคือธงชัยแห่งพระอรหันต์ บัณฑิตไม่ควรทำลาย ควรสักการะเคารพอย่างเดียวโดยแท้ " จึงกล่าวเป็นคาถาว่า " ผู้ใดยังไม่หมดกิเลส ปราศจากทมะ และสัจจะ ผู้นั้น ไม่ควรจะนุ่งห่มผ้าเหลือง ส่วนผู้ใดคลายกิเลสได้แล้วตั้งมั่นอยู่ในศีลประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ควรนุ่งห่มผ้าเหลือง " แล้วถามนายพรานว่า " เพื่อนเอ๋ย ท่านยิงเราเพื่อต้องการอะไร เพื่อตนเอง หรือคนอื่นใช้ให้มาฆ่าเรา " นายพรานตอบว่า " พญาช้าง พระนางสุภัททามเหสีของพระเจ้ากาสีกราช ได้ทรงสุบินเห็นท่าน จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเพื่อประสงค์งาทั้งคู่ของท่าน " พญาช้างก็ทราบโดยทันทีถึงการผูกเวรของนางจุลลสุภัททา จึงกล่าวว่า " เพื่อนเอ๋ย พระนางสุภัททามิใช่จะต้องการงาทั้งสอง ของเราดอก ประสงค์จะฆ่าเราเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเถิดนายพราน จงหยิบเลื่อยมาตัดงาเราขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เถิด " นายพรานจึงใช้เลื่อยตัดงาทั้งคู่แล้วรับถือกลับเมืองไป พญาช้างมอบงาให้นายพรานแล้วตั้งจิตอธิษฐานให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วตั้งจิตเมตตาให้นายพรานเดินทางกลับเมืองด้วยความปลอดภัย แล้วก็ล้มลงขาดใจตาย ฝ่ายนางช้างมหาสุภัททาพร้อมฝูงช้างวิ่งหนีไปได้ระยะทางหนึ่ง เมื่อไม่เห็นศัตรูตามมาก็พากันกลับเห็นพญาช้างสิ้นใจตายแล้ว ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่ตรงนั้น ส่วนนายพรานก็นำงาทั้งคู่เข้าถวายพระนางสุภัททาพระนางรับคู่งาอันวิจิตรมีรัศมี 6 ประการวางไว้ที่พระเพลาทอดพระเนตรดูงาของสามีสุดที่รัก เกิดความเศร้าโศกสลดในอย่างยิ่งทันใดนั้นเองดวงหทัยของพระนางก็ได้แตกสลายสวรรคตในวันนั้นเช่นกัน
ขอขอบคุณ ข้อมูลโดย :: นิว ด่านช้าง, ช่างนนท์, สมภพ โรจนเสถียร, ชัย ดอนไร่, เม่น หนองทราย, ปัญญา โพธิ์พุ่ม, มี่ กะ อาร์ นะคร๊าฟ , ป้อ สุพรรณ และศิษยานุศิษย์ทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนเช่าพื้นที่เว็บไซต์ และจดทะเบียนโดเมนเนม :: Tony Ma (ปี 62 และปี 63)